สำหรับใครที่กำลังสนใจจะลงทุนในทองคำ เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าทองคำแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะระหว่างทองคำที่ผลิตในประเทศไทยกับทองคำที่มาจากต่างประเทศ ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับประเภทของทองคำและความแตกต่างเหล่านี้กันครับ
ทองคำไทย
ทองคำไทย หรือที่บางคนเรียกว่า “ทองรูปพรรณ” หมายถึง ทองคำที่ผลิตและแปรรูปในประเทศไทย โดยมีมาตรฐานและกระบวนการผลิตที่กำหนดโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม
ทองคำไทยจะมีเครื่องหมายรับรองตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือเครื่องหมาย “ไทย” เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าทองคำที่ซื้อนั้นมีคุณภาพและความบริสุทธิ์ได้มาตรฐาน โดยปัจจุบันมีทองคำคุณภาพมาตรฐานทั้งหมด 5 ชนิด คือ ทองคำ 96.5% , 92.5% , 90% , 85% และ 80%
ทองคำต่างประเทศ หรือทองคำโลก หมายถึง?
ทองคำต่างประเทศ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ทองคำแท่ง” หมายถึง ทองคำที่มีการผลิตและแปรรูปในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยจะมีตราสัญลักษณ์และเครื่องรับรองมาตรฐานคุณภาพที่แตกต่างกันไปตามผู้ผลิตและประเทศต้นกำเนิด
ทองคำชนิดนี้จัดเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ของโลก จึงมีมาตรฐานสูงอยู่ที่ร้อยละ 99.99% ซึ่งแพงและมีราคาแพงกว่าทองคำไทย นิยมนำไปเก็งกำไรหรือลงทุน นอกจากนี้ยังมีทองคำบริสุทธิ์ 24K และทองคำที่มีส่วนผสมกับโลหะชนิดอื่นด้วย
ระหว่างทองคำทั้ง 2 นี้แตกต่างกันอย่างไร?
การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างทองคำไทยกับทองคำต่างประเทศหรือทองคำโลกนั้นมีดังนี้
- คุณภาพและความบริสุทธิ์
ทองคำไทยจะมีความบริสุทธิ์ตั้งแต่ 80% ถึง 96.5% ขึ้นอยู่กับชนิด ในขณะที่ทองคำแท่งหรือทองคำโลกมีมาตรฐานความบริสุทธิ์สูงถึง 99.99% จึงมีราคาที่แพงกว่า
- มาตรฐานการผลิต
ทองคำไทยมีมาตรฐานการผลิตที่กำหนดโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไทย รับรองด้วยเครื่องหมาย “ไทย” ส่วนทองคำโลกหรือทองคำแท่งจะมีตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานของแต่ละผู้ผลิตหรือประเทศที่ผลิต
- วัตถุประสงค์การใช้งาน
ทองคำไทยนิยมใช้ในการเก็งกำไรระยะสั้นและทำเครื่องประดับ และทองคำแท่งจัดเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ นิยมนำไปลงทุนและเก็งกำไรระยะยาว มีราคาสูงกว่า
- ราคา
เนื่องจากมีคุณภาพต่างกัน ทำให้ราคาทองคำไทยถูกกว่าทองคำโลกหรือทองแท่งอยู่พอสมควร โดยเฉลี่ยประมาณ 300-500 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาท
- ช่องทางจำหน่าย
ทองคำแท่งหรือทองคำโลกจะมีแหล่งจำหน่ายที่หลากหลายและกระจายอยู่ทั่วโลก และในส่วนของทองคำไทยนั้น นอกจากจะหาซื้อได้ที่ร้านทองในประเทศแล้ว ธนาคารชั้นนำหลายแห่งก็มีจำหน่าย และในปัจจุบันยังสามารถซื้อ – ขายทองคำผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างสะดวกสะบาย อย่างบริการจากเว็บไซต์ มีทอง ที่เป็นแหล่งบริการด้านทองคำ ทั้งทองคำแท่งและทองรูปพรรณ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการในทุกๆ ด้าน
ควรเลือกซื้อทองคำอะไรดี
- สายชอบทองคำไทย
การเลือกลงทุนระหว่างทองคำไทยกับทองคำต่างประเทศนั้นก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละคน โดยมีปัจจัยที่ควรพิจารณาดังนี้
หากต้องการเป็นเจ้าของทองคำที่มีคุณภาพสูงเพื่อเก็งกำไรในระยะยาว ทองคำแท่งหรือทองคำโลกจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากมีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.99% จึงมีมูลค่าและโอกาสปรับราคาสูงขึ้นมากกว่า แต่ก็ต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่าด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะสั้นหรือต้องการเป็นเจ้าของทองคำเพื่อนำไปทำเครื่องประดับ ทองคำไทยก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากมีราคาที่ไม่สูงมากนักและมีกระบวนการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานของรัฐ ขณะเดียวกันหากต้องการความสะดวกก็สามารถเลือกซื้อทองคำจากธนาคารหรือร้านค้าชั้นนำได้ทั่วประเทศ
- สายลุยทองคำต่างประเทศ
นอกเหนือจากทองคำแท่งหรือทองคำไทยแล้ว ปัจจุบันยังมีทองรูปพรรณบางประเภทที่นำเข้าจากต่างประเทศด้วย โดยบางแบรนด์ก็มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมไม่แพ้ทองคำในประเทศไทยเลย อาทิ ทองคำนำเข้าจากประเทศอิตาลี ดูไบ หรือฮ่องกง ซึ่งมีคุณภาพและราคาที่แตกต่างกันไป จึงเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนทองคำ
ออมทอง อีกหนึ่งการลงทุนในทองที่คุณสามารถทำได้ กับ ร้านทองมี
ให้การลงทุนของคุณเพิ่มความง่ายและสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทางไปร้านทอง เหมาะสำหรับคนงบน้อย ไม่ต้องใช้เงินก้อน เริ่มต้นเพียงแค่ 150 บาท ก็สามารถออมทองได้สบายๆ อ่านบทความเพิ่มเติม คนงบน้อยอยากมีทองได้ คลิก (รอเว็บไซต์ publish)
> เริ่มต้นออมทองกับร้าน ทองมี LINE ร้านทองมี
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเลือกลงทุนในทองคำประเภทใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือต้องศึกษาให้เข้าใจถึงคุณสมบัติและมาตรฐานต่างๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการลงทุนและไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ พร้อมทั้งติดตามข่าวสารและปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้วางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสม
โดยสรุปแล้ว การเลือกซื้อทองคำไทยหรือทองคำต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องของความชอบและวัตถุประสงค์การลงทุนของแต่ละคน ซึ่งแม้จะมีส่วนแตกต่างกันทั้งในเรื่องราคา คุณภาพ และมาตรฐานก็ตาม แต่ล้วนมีข้อดีข้อด้อยที่ผู้ลงทุนสามารถเลือกให้เหมาะสมกับตนเองได้